วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

เมื่อพระจันทร์"เต็มดวง" กบน้อย "ถือกำเนิด"


อ๊ะ อ่ะ อา ยิโอ โอ อ่ะ อา อ๊อด อ๊อด 

           

          "สวัสดีค่ะ ทุกๆคน"


              ฉันรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสมาแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการใน blog นี้ ก่อนอื่นต้องถามก่อนว่า...เห็นเราร้องเพลง อ๊อด ๆ ก็คิดว่าฉันชื่อ อ๊อด ใช่ไหมค่ะ ?  

                                    หลายคนคงคิดในใจ ผู้หญิงอะไร ชื่อ อ๊อด !! “  นั้นสิ ใครมันจะชื่อ อ๊อด อิอิ


            ที่ฉันร้องเพลงนี้ก็เพราะว่า ฉันมักจิตนาการไปเองเสมอว่าตัวเองนั้นเป็น เจ้าหญิงกบน้อย ที่น่ารัก และแน่นอนว่าก่อนกบมันจะโตเต็มวัย ก็ต้องผ่านการเป็น ไข่กบ และ ลูกอ๊อดมาก่อนใช่ไหม่เอ่ย !!


           จริงๆ แล้ว !!  เราชื่อว่า" ออย" ค่ะ เป็นชื่อเล่นที่น่าจะมาจาก คำว่า “สำออย” คือ เอ๊ะอ่ะ ก็ร้องให้ งอแง ประมาณนี้ เนื่องจากว่าเป็นเด็กที่เกิดก่อนกำหนด แม่คลอดตอนอายุครรภ์ 7 เดือน ออกมาตัวนี้ เหมือน ปลาดุก ตัวเล็ก นิดเดียว วางที่ขาไขว้กัน ยังรอดตกได้เลย ท้องใส เลี้ยงยากมาก แต่ก็รอดมาได้อย่าง หวุดหวิด 




++ ย้อนความเล็กน้อย ++ 

      ในคืนที่แม่ได้อนุญาตให้ .... หนูน้อยมหัศจรรย์.... ลืมตาออกมาดูโลกใบนี้   ถ้าฉันพูดได้ ในทันทีคงจะอุทานออกมาว่า “ อุ๊ต่ะ พระจันทร์เต็มดวงสวยจังเลย ” เพราะว่าวันนั้น เป็นคืนวันเพ็ญ  15 ค่ำ เดือน หก หรือวันวิสาขบูชา นั้นเอง จึงเป็นที่มาของชื่อจริงที่ว่า  วันวิสาข์  และได้นามสกุลที่ดูเข้ากันว่า เทียนงาม

จึงกลายเป็น >> เด็กหญิง วันวิสาข์ เทียนงาม <<  ชื่อนี้ช่างไพเราะเสนาะหู เป็นชื่อที่ ภูมิใจ ทุกครั้งที่ถูกเรียก          " ยกเว้น เวลาเรียนหนังสือ " แต่ก็ไม่พ้นที่จะถูกล้อว่า “วันวิสาข์ เทียนดับ”   อุ่แหม่ ทำไมถึงใจร้ายกับฉันขนาดนี้        
   
                                                                                                             เด็กผู้หญิง คนหนึ่งได้กล่าวไว้


++ หลายๆ ครั้งที่ เกิดเหตุการณ์ ย่ำแย่ในชีวิต ++ 

     สิ่งที่ฉัน คิดถึงเสมอคือ การกำเนิดของฉัน  ในวันที่แม่  ผู้หญิงแกร่งคนหนึ่ง ที่ทำงานอย่างหนักตลอดเวลาที่อุ้มท้องฉัน   ซึ่งไม่รู้ว่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันคลอดก่อนกำหนดหรือเปล่า 
******************************
    ในวันนั้น แม่เจ็บปวดและทรมาณมาก ครอบครัวเราในตอนนั้นแถบจะไม่มีอะไรเลย พ่อต้องวิ่งออกมาหา รถที่จะพาแม่ไป ส่งโรงพยาบาล และก็นานพอสมควรกว่าจะหาได้  ทำให้พ่อของฉันรู้สึกว่าการที่ไม่มีอะไรที่เป็นของตัวเอง มันชั่ง โหดร้ายต่อชีวิต ยิ่งหนัก ....  แหม่ พ่อเรา นี้พระเอกมาก  .... !! 
******************************
    ถึงแม้ว่าฉันจะลืมตามาดูโลกอย่างทุลักทุเล และเลี้ยงยาก มากในตอนเด็ก แต่ก็มีสิ่งหนึ่ง ที่ฉันคิดว่ามันเป็นพลังวิเศษที่ติดตัวมา คือการที่ได้เกิดในวันสำคัญทางศาสนา “วันวิสาขบูชา นั้นเอง ประมาณว่า เอาน่า เราก็บุญเก่า ติดตัวมาบ้างแหล่ะ   และมันคงเป็นเช่นนั้น จริง ๆ




            ++ ในช่วงชีวิต วัยเด็กฉันอาศัยอยู่กับ ปู่ และ ย่า ซึ่งเลี้ยงดูฉันดีเกิน !! ++
                      >>  จากลูกปลาดุก โตมาอย่างลูกช้าง อ้วนถ้วนสมบูรณ์มาก ไม่เคยป่วยหรือเป็นโรคอะไรเลย เพราะปู่เป็นหมอเทวดา เค้าเรียกกันอย่างนั้น หรือถ้าทางการหน่อยก็เรียกว่า หมอบ้าน หมอน้ำมัน ประมาณนี้ 
                     >>  ฉันถูกจับกวาดยา  และกินมาหมดแหล่ะ คางคก ตุ๊กแก อึ้ยยยยย กินไปได้ด้วยความเป็นเด็ก ปู่ว่ามันเป็นยา คงจะจริง ฉัน ไม่เคยป่วยหนักและไม่เคยไปหาหมอเลย จนถึงตอนโต

"นี้คือ น้องสาว ฉันเองก็อารมณ์ประมาณนี้ อ้วน ๆ แต่ดำๆ กว่านิดหน่อย"

                    ฉันเป็นเด็กที่ค่อนข้างเรียนดีตั้งแต่ สมัย ป. 5 เคยสอบได้ที่ 1 ครั้งหนึ่ง เพิ่งย้าย โรงเรียนมา แต่แหม่!!  เพื่อนก็หาว่าฉันลอกคุณครู  เพราะ นั่งข้างโต๊ะครู แต่ฉันเปล่าทำน่ะ มันบังเอิญได้เอง นับแต่นั้นมาฉันก็ได้รู้ว่าการสอบได้คะแนนดีเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้แม่มีความสุข และฉันก็พยายามเรียนให้ดีมาโดยตลอด 


                      ทุกครั้งที่สอบได้คะแนนดี แม่ไม่เคยจะชมเชยเลย แค่ยิ้ม ๆ และก็จบไป  เมื่อถึงช่วงเข้ามหาลัย ได้เรียนต่อ ที่มหาลัยเอกชน จำได้ว่า พ่อขับรถมาส่งที่ หอ ขนของให้ และกลับไป
                    ฉันจึงเริ่มต้นการใช้ชีวิต ด้วยตัวเองแต่นั้นมา !!   เป็นเวลา 4 ปี ที่ไม่เคยมีใครมาเยี่ยมที่มหาลัย ส่วนใหญ่กลับบ้านตามเทศกาล   และสิ่งนี้เองที่ทำให้ฉันกลายเป็นคนที่เข้มแข็ง พึ่งตัวเองมาโดยตลอดระหว่างเรียน ก็ไม่มีพี่สายรหัส หรือ อาจารย์ที่ปรึกษา ในายนาละฉันก็จบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ได้สำเร็จ  เป็นของขวัญให้แม่และครอบครัว



"กบตัวน้อย" กับ "โลกใบใหญ่"   


           และแล้ว ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันตัดสินใจ ....เปลี่ยนเส้นทางเดินชีวิต  !! ..... จากการเรียน ป.โท ในสายนักวิจัย มาใช้ชีวิตตัดขาดกับครอบครัว เมื่อไม่เรียนแม่ ไม่ว่า แต่ แม่ไม่พูดด้วยและไม่ให้เงินใช้ 



     
ฉันอยากรู้ว่าถ้าไม่มีเงินสนับสนุนจากครอบครัวตัวเองจะใช้ชีวิตได้ไหม ?

>>   จึงตัดสินใจ ไม่เรียนและพิสูจน์ให้แม่เห็นว่าฉันอยู่ได้ ฉันใช้ชีวิต 6 เดือนในการเป็นติวเตอร์สอนพิเศษ   
>>  เนื่องจากชอบสอนหนังสือตั้งแต่เด็ก ซึ่งเป็นอาชีพในฝัน  และแล้วเราก็ได้รู้ว่า มันไม่ง่ายน่ะชีวิต งานนี้รายได้ดีแต่ไม่มั่นคง 
>>  ถ้าน้องหยุดเราก็ว่าง จึงตัดสินใจเรียนอีกครั้ง  และแม่ก็ยอมรับการสอนพิเศษของฉันว่ามันสร้างรายได้ได้จริงๆ 


"เราพบกันสายกลางฉันกลับไปเรียนต่อ ป.โท ในสายอาชีพครูวิทยาศาตร์"
   


             จนถึงวันนี้ เรียนมาแล้วกว่าสามเดือน มีสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น คือ ฉันค้นพบว่า >> ฉันรักการถ่ายรูป <<  ถ่ายทุกวันจากมือถือและตอนนี้พัฒนาเป็นกล้อง บางทีฉันก็รุ้สึกว่า เอ๊ะ นี่เราเรียนผิดมาตั้งแต่ต้นเลยหรือป่าว !!



            อีกบทพิสูจน์ในชีวิตต่อจากนี้คือ 
                       ฉันจะสามารถเดินตามฝัน ทั้ง 2 ที่มันค่อนข้างจะสวนทางกันได้ไหม ?  เมื่อแม่ยอมให้ฉันเรียนครูซึ่งเป็นอาชีพที่ฉันบอกว่ารักนั้น กับการที่จะต้องเรียนรู้การถ่ายรูปที่ดี และ เป็นตากล้องให้ได้ !!



>> สู้ ๆ น่ะ กบน้อย <<

          ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า ฝันไหนจะเป็นจริง  มันอาจจะไม่มีสิ่งใด สำเร็จเลย หรือว่า ฉันอาจจะได้เป็นครูที่มีความสามารถพิเศษคือการถ่ายรูป   มันคงจะดีไม่น้อย ที่เราได้ทำตามฝัน ของเรา และ ฝันนั้นเป็นจริงในสักวัน 



           " สำหรับวันนี้ " 

               ฉันคงต้องทำหน้าที่     >> ลูกที่ดีของแม่    

                                                       >> ครูที่ดีของน้อง ๆ  

                                                       >> ลูกศิษย์ที่ดีของอาจารย์

                                                       >>  ตากล้องที่ดี 

          สุดท้าย  เหนือสิ่งอื่นใด  ฉันก็ยังคงเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติแน่นอนค่ะ



              แล้วคุณล่ะ ?
                                            ใช้ชีวิตบนโลกนี้เป็นอย่างไรบ้างได้เรียนรู้ชีวิตบ้างหรือยัง !!
                                 การรู้จักฉันในวันนี้ ได้สร้างคำถามกับตัวคุณได้ไหมว่า  " คุณกำลังทำอะไรอยู่"